เพราะดราม่ากว่านี้ไม่มีอีก
เป็นเกมชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกที่ถูกยกย่องว่าน่าตื่นเต้นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
สำคัญคือ ภายหลังศึกสงครามดวลกันสั่นสะเทือนเลือนลั่น
มันก็คือ “แฮปปี้เอนดิ้ง” อย่างที่หลายฝ่ายอยากเห็น — ตอนจบแสนสวยที่ ลิโอเนล เมสซี่ ใฝ่ฝันถึงมาตลอดทั้งชีวิต
อย่างที่ทราบกันดี ก่อนจะถึงฟุตบอลโลกครั้งนี้ อาร์เจนติน่า มีประวัติเป็นแชมป์โลกมา 2 สมัย ท่ามกลางการมองว่าพวกเขาควรได้มากสมัยกว่านี้ เมื่อพิจารณาจาก “ขุมสมบัติ” ที่พวกเขามี — ขุมสมบัติอย่างสุดยอดนักเตะในทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะ ดีเอโก้ มาราโดน่า, เคลาดิโอ คานิกเกีย, กาเบรียล บาติสตูต้า, ฮวน โรมัน ริเกลเม่, เฟร์นานโด เรดอนโด้, ดีเอโก้ ซิเมโอเน่, มาร์ติน ปาแลร์โม่, เอร์นัน เครสโป, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ, วอลเตอร์ ซามูเอล ฯลฯ หรือล่วงเลยมาในยุค ลิโอเนล เมสซี่, กอนซาโล่ อิกวาอิน, อังเคล ดิ มาเรีย, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ ฯลฯ
สำคัญสุดคือ เมสซี่ ดาวเตะที่ถูกยกย่องว่า “เก่งกาจที่สุดในโลก” ยุคนี้สมัยนี้ ที่ต้องรอคอยโทรฟี่มาปีแล้วปีเล่า
นี่คือการเดินทางที่ใช้เวลายาวนานนับสิบๆ ปี พร้อมคราบน้ำตาและความน่าโมโหหงุดหงิด…ก่อนจะเอาอกแตะเส้นชัยในฟุตบอลโลกหนสุดท้ายของตัวเอง พอดี

ฟุตบอลโลก 2006 : ประเดิมในวัย 18
ในวันวัยยังเข้าผับไม่ได้ และที่จริงก็เพิ่งขยับขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ของ บาร์เซโลน่า แค่ปีกว่าๆ ลิโอเนล เมสซี่ ได้รับหมายเรียกจาก โฮเซ่ เปเกร์มัน ให้เข้ารายงานตัวกับทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่เป็นครั้งแรกตอนกลางปี 2005 และถูกส่งลงสำรองนัดพบ ฮังการี ทันที–และโดนใบแดงทันทีด้วยในเพียง 2 นาทีแรก จากจังหวะพยายามกระชากหนีกองหลังที่ดึงเสื้อเขา แล้วผู้ตัดสินมองว่า เมสซี่ ตั้งใจสับศอกใส่คู่แข่ง
หนึ่งปีให้หลัง เปเกร์มัน ไม่พลาดจะใส่ชื่อเจ้าหนูเมสซี่ ไปฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี โดยเป็นหนึ่งในตัวเลือกศูนย์หน้าร่วมกับ เอร์นัน เครสโป, ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า, คาร์ลอส เตเวซ, โรดริโก้ ปาลาซิโอ และ ฮูลิโฮ ครูซ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นดาวรุ่งอายุ 18 เมสซี่ จึงแค่ไปเพื่อเก็บประสบการณ์เพียงเท่านั้น และ อาร์เจนติน่า เองก็ไม่ได้มีทัวร์นาเมนต์ที่น่าประทับใจอะไร ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย พ่ายจุดโทษ เยอรมนี 2-4 โดยที่ เมสซี่ ไม่ได้ถูกใช้งานเกมนี้ด้วย หลังจากมี 1 ประตูจากการลงสำรองมาขยี้ เซอร์เบีย-มอนเตเนโกร 6-0 ในรอบแรก

ฟุตบอลโลก 2010 : เมสซี่ + มาราโดน่า = ล้มเหลว!
นิยามได้แค่ว่า “ล้มเหลว” สำหรับฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ของ เมสซี่ เมื่อทั้งที่มี ดีเอโก้ มาราโดน่า (ผู้ล่วงลับ) เป็นเจ้านาย แถม เมสซี่ กำลังไปได้สวยกับบาร์ซ่า แต่ฟ้าขาวกลับล้มเหลวอย่างรุนแรง แม้จะผ่านรอบแรกแบบชนะรวด 3 เกมซ้อน แต่ที่สุดแล้วไปแพ้ เยอรมนี ในรอบ 8 ทีม ขาดลอยถึง 0-4 โดยที่ เมสซี่ ซึ่งถูกจับเล่นตำแหน่งหน้าต่ำหลังคู่หัวหอก ไม่มีสกอร์เลยสักลูกตลอดรายการ

ฟุตบอลโลก 2014 : ก้าวเดียว…ที่ไปไม่ถึง
พลิกชะตาจาก 4 ปีก่อนเป็นมาทำได้ดีมากถึงดีที่สุดในรอบหลายสิบปี แต่ถึงจะดีที่สุด…ก็ยังไปไม่ถึงแชมป์อยู่ดี
เมสซี่ งัดฟอร์มสุดยอดออกมาโชว์ที่บราซิลได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ยิง 4 ประตูจาก 3 เกมรอบแรก พร้อมมีส่วนสำคัญพาทีมของ อเลฮานโดร ซาเบย่า (ล่วงลับเช่นกัน) ชนะรวด 3 นัด แล้วแม้ เมสซี่ จะกระสุนหมด หยุดยิงเมื่อจบรอบแรก อาร์เจนติน่า ก็ยังกรุยทางต่อไปได้เรื่อยๆ – รอบ 16 ทีม ชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 1-0, รอบ 8 ทีม ชนะ เบลเยียม 1-0 และรอบตัดเชือก ชนะจุดโทษ เนเธอร์แลนด์ 4-2
จนนัดชิงชนะเลิศ เมื่อต้องพบกับ เยอรมนี ที่เป็น “ของแสลง” โดยตรงของฟ้าขาวมาหลายปี ที่สุดแล้ว ฟ้าขาว ก็ไม่ผ่านด่านอีกจนได้ เป็นเยอรมนีเบียดชนะ 1-0 ช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยที่ เมสซี่ เล่นไม่ออกเท่าที่ควรจะเป็น และได้เพียงเดินผ่านโทรฟี่แชมป์โลกพร้อมมองตาละห้อย เป็นช็อตประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของโลกฟุตบอล.

ฟุตบอลโลก 2018 : เป็นแค่ตัวประกอบ
จากที่พลิกชะตาความล้มเหลวในปี 2010 มาถึงชิงชนะเลิศในปี 2014 อาร์เจนติน่า ก็กลับล้มฟุบอย่างน่าผิดหวังเสียอีกรอบ สำหรับ ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ภายใต้การทำทีมของ ฮอร์เก้ ซัมเปาลี
กระเสือกกระสนกันตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ที่สองเกมแรกไม่ชนะใคร เสมอ ไอซ์แลนด์ 1-1 ตามด้วยแพ้ โครเอเชีย 0-3 ก่อนจะชนะ ไนจีเรีย 2-1 (เมสซี่ยิงลูกแรก) จนเข้ารอบน็อกเอาต์เป็นที่ 2 อย่างฉิวเฉียด
แต่เมื่อรอบน็อกเอาต์ 16 ทีมมาถึง อาร์เจนติน่า โคจรมาเจอกับ ฝรั่งเศส ก็จบเห่ในพริบตา สกอร์อาจออกเบียดที่ 4-3 แต่ในระหว่างเกม ฝรั่งเศส ฉีกสกอร์นำห่างถึง 4-2 (คีลิยัน เอ็มบัปเป้ สองเม็ด) แล้วค่อยมาโดนบีบตอนทดเจ็บเท่านั้น

ฟุตบอลโลก 2022 : แล้วก็ถึงฝั่งฝัน
แม้จะออกสตาร์ทด้วยความพ่ายแพ้อย่างพลิกล็อกช็อกโลกต่อ ซาอุดีอาระเบีย 1-2 แต่ประตูแรกสุดของ อาร์เจนติน่า ในทัวร์นาเมนต์ที่กาตาร์ ก็มาจากการสังหารจุดโทษของ เมสซี่
ยังสานต่อความต่อเนื่องด้วยการยิงรัวๆ ตลอดหลังจากนั้น ควบคู่ไปกับฟอร์มระดับสุดยอดที่ เมสซี่ วัย 35 ร่ายออกมาโชว์ตลอดรายการ
รอบแบ่งกลุ่ม ชนะ เม็กซิโก 2-0 : เมสซี่ เปิดสกอร์นำ 1-0 กลางครึ่งหลัง
รอบแบ่งกลุ่ม ชนะ โปแลนด์ 2-0 : เกมเดียวที่ เมสซี่ เป้าสะอาด
รอบ 16 ทีม ชนะ ออสเตรเลีย 2-1 : ส่องเรียดพาฟ้าขาวนำ 1-0 ท้ายครึ่งแรก
รอบ 8 ทีม เสมอ เนเธอร์แลนด์ 2-2, ชนะจุดโทษ 4-3 : กดจุดโทษทิ้ง 2-0
รอบตัดเชือก ชนะ โครเอเชีย 3-0 : สังหารจุดโทษขึ้นนำ 1-0
นัดละเม็ด เว้นแค่เกมกับ โปแลนด์ จนกระทั่งมาถึงเกมชิงชนะเลิศ ที่ อาร์เจนติน่า ต้องดวลกับแชมป์เก่า ฝรั่งเศส ซึ่งนำมาโดยรุ่นน้องร่วมค่าย ปารีส แซงต์-แชร์กแมง อย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้
เกมที่ ลูเซล ไอคอนิก สเตเดี้ยม เป็นไปอย่างสนุกสุดแสนยิ่งกว่าเที่ยวแดนเนรมิตร
เมสซี่ เช็คบิลจุดโทษของถนัดผ่าน อูโก้ โยริส ให้ อาร์เจนติน่า ขึ้นนำ 1-0 ตั้งแต่เนิ่นๆ นาที 23 ก่อนที่ อังเคล ดิ มาเรีย จะบวกเป็น 2-0 ก่อนสิ้นครึ่งแรก
ปรากฏว่าช่วงท้ายเกม สิบนาทีท้าย เอ็มบัปเป้ ก็มาซัดสองเม็ดรวด ตีเสมอให้ ฝรั่งเศส ผ่าน 90 นาทีด้วยผลเสมอ 2-2
ต่อเวลา นาที 109 เลาตาโร่ มาร์ติเนซ หลุดเข้าไปส่องติดเซฟ โยริส มาเข้าทาง เมสซี่ กระแทกลูกย้ำเข้าไป อาร์เจนติน่า นำ 3-2
แต่นาที 118 เอ็มบัปเป้ ก็จัดแฮตทริกด้วยการกดจุดโทษ หลังจาก กอนซาโล่ มอนเทียล โดนจับแฮนด์บอล ตีเสมอเป็น 3-3 และยื้อให้เกมต้องชี้ขาดด้วยการดวลจุดโทษตัดสิน
ถึงช่วงดวลเป้า เมสซี่ ยังคงสังหารผ่าน โยริส ไม่พลาด
ณ ตรงนั้น หน้าที่ของเขาหมดลงแล้ว ที่เหลือก็เพียงการลุ้นงานของบรรดาเพื่อนร่วมทีม
และสุดท้าย ทั้ง เมสซี่, เพื่อนฟ้าขาว, ลิโอเนล สคาโลนี่ และคนอาร์เจนไตน์ทั้งชาติและทั่วโลก ก็ได้ฉีกยิ้มกว้างรับชัยชนะ 4-2 เมื่อ คิงสลี่ย์ โกม็อง กับ ออเรเลียง ชูอาเมนี่ เป็นสองคนของ ฝรั่งเศส ที่ซัดพลาด ส่วนอาร์เจนติน่าไม่พลาดเลยจาก 4 มือสังหาร
เป็นแชมป์โลก
เป็นรองดาวซัลโว 7 ประตู
เป็นแมนออฟเดอะแมตช์นัดชิงดำ
เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ 5 จาก 7 เกมฟุตบอลโลก 2022
จาก 2014 ที่ได้แค่เดินผ่านโทรฟี่อย่างเฉียดๆ สู่ 2022 ที่เป็นคนชูถ้วยขึ้นเหนือหัว
ความฝันของ ลิโอเนล เมสซี่ ลุล่วงแล้วด้วยดี ด้วยแชมป์โลกที่ตามหามานานตลอดเส้นทางอาชีพ
ที่สำคัญอีกอย่าง คือการตอกย้ำความเป็น “นักเตะเบอร์ 1 โลก” ยุคนี้สมัยนี้ อย่างหนักแน่นเต็มเสียง
ที่เผลอๆ จะเป็น “เบอร์หนึ่งตลอดกาล” เหนือกว่า มาราโดน่า และใครทั้งปวงด้วยซ้ำ!